• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

KLINIQ สวยอย่างซุปตาร์ !! Up Size ธุรกิจพิชิตทุกศาสตร์ความงาม

Started by fairya, October 31, 2022, 01:47:50 AM

Previous topic - Next topic

fairya


เมกะเทรนด์อย่าง "Health And Beauty" ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคมากขึ้นในยุคปัจจุบัน และแน่นอนว่าการที่ประเทศไทยกำลังจะเดินหน้าเข้าสู่ "Medical Hub" ก็ยิ่งทำให้อุตสาหกรรมดังกล่าวเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ถือเป็นโอกาสสำหรับ บมจ.เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม (KLINIQ) หนึ่งในผู้นำในธุรกิจเสริมความงามแบบองค์รวม (Wellness & Regenerative Medicine) ภายใต้แบรนด์ "เดอะคลีนิกค์" (THE KLINIQUE) จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เพื่อระดมทุนมาใช้ขยายธุรกิจ

ทั้งนี้ KLINIQ เสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน 60,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาท/หุ้น หรือคิดเป็น 27.27% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ กำหนดราคาเสนอขาย 24.50 บาท/หุ้น ในช่วงวันที่ 28 ต.ค.-1 พ.ย.นี้ และจะนำหุ้นเข้าซื้อในตลาด mai ภายในเดือน พ.ย.

*ไขความลับ KLINIQ สร้างความแตกต่างด้วยมาตรฐานสากล

นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KLINIQ ให้สัมภาษณ์กับ "อินโฟเควสท์" ว่า บริษัทเปิดดำเนินงานด้านคลิกเวชกรรมความงามมาเป็นระยะเวลากว่า 13 ปี เริ่มจากสาขาแรกที่สยามสแควร์ภายใต้แบรนด์ เดอะคลีนิกค์ (The KLINIQUE) ซึ่งในช่วงแรกของการเปิดให้บริการได้เน้นที่การให้บริการรักษาโรคผิวหนังทั่วไป การรักษาสิว เจาะกลุ่มนักเรียนนักศึกษา

จากนั้นได้เริ่มนำนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการรักษาผิวหนังมาช่วย โดยการใช้เครื่องฉายแสงลเซอร์ มาใช้ควบคู่การรักษาในรูปแบบปกติ เพื่อประสิทธิภาพการรักษาที่ดีขึ้น และลดผลข้างเคียงของการรักษาแบบเดิมที่ใช้การกด ฉีด และกินยา ซึ่งอาจมีผลข้างเคียงต่อตับ กลุ่มผู้หญิงตั้งครรภ์ และเกิดอาการดื้อยา เป็นต้น

ตลอด 13 ปี The KLINIQUE ได้มีการเปิดสาขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบันมีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ 39 สาขา ทั้งในหัวเมืองใหญ่และหัวเมือรอง ซึ่งเป็นทำเลที่ขยายไปเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะวัยทำงานและผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง

รูปแบบการรักษาของ The KLINIQUE ถือเป็นจุดเด่นที่สร้างความแตกต่างและเหนือกว่าผู้ประกอบการรายอื่นในตลาด จากการให้ความสำคัญในเรื่องเครื่องมือ อุปกรณ์ และคุณภาพการรักษา ด้วยยาและเครื่องมือทางการแพทย์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากสหรัฐฯ ซึ่งเน้นประสิทธิภาพการรักษาที่เห็นผลชัดเจน ควบคู่ไปกับการบริการที่เทียบเท่ากับการบริการของโรงแรมระดับ 5 ดาว

ด้านการคัดเลือกและอบรมบุคคลกรทางการแพทย์ ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญจากการที่มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มีความสามารถ ควบคู่ไปกับการเสริมความรู้ให้กับทีมแพทย์ โดยมีการอบรมจากแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง หรือส่งไปอบรมในการกระชุมต่างประเทศ เพื่อทำให้ทีมแพทย์มีการรักษาที่ทำให้เกิดการเห็นผลที่ชัดเจน

"ข้อสำคัญของ The KLINIQUE คือ บุคคลากรและเทคโนโลยี ที่เรามีการคัดเลือก มีระบบการเทรนนิ่งที่ดี เพื่อให้การรักษาและการบริการแก่ลูกค้าที่ให้ประสบการณ์ดีที่สุด และเครื่องมือแพทย์ที่เราเลือก ปกติหลาย ๆ ที่จะผ่านอย.ประเทศไทย แต่เราเน้นอย.สหรัฐฯ เพราะเป็นสิ่งที่ทั่วโลกยอมรับ ทำให้เรามั่นใจได้ว่าลูกค้ามาใช้บริการที่เรา เมื่อเทียบกับรายอื่นจะไม่เจอยาและเครื่องมือที่ดีกว่านี้แล้ว" นายแพทย์อภิรุจ กล่าว
*ชู 4 บริการ ตอกย้ำผู้นำธุรกิจด้านความงามครบวงจร

นายแพทย์อภิรุจ กล่าวว่า การวาง Position ของธุรกิจของ KLINIQ มุ่งเป้าไปที่การเป็น Health and Beauty Destination ด้านความงามครบวงจรชั้นนำของประเทศ โดยที่จะเน้นการให้บริการ 4 ด้าน โดยที่ 2 บริการที่เป็นสัดส่วนรายได้หลักของบริษัทกว่า 70-80% คือ การรักษาผิวพรรณโดยแพทย์ผิวหนัง (Aesthetics Skin) การรักษาดูแลรักษารูปร่าง (Aesthetics Body)

ขณะที่ยังมีอีก 2 บริการที่จะเข้ามาเป็นการต่อยอดธุรกิจ คือ การศัลยกรรมโดยการผ่าตัด (Surgery) ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ราว 5-10% โดยเพิ่งเปิดศูนย์ศัลกรรมที่สยามสแควร์ พื้นที่ 700 ตารางเมตร จำนวน 4 ห้องผ่าตัด 4 เตียง และในช่วงปลายปี 65 เตรียมเปิดบริการด้านสุขภาพ (Wellness) โดยจะมีการเปิดศูนย์ Wellness ของ The KLINIQUE ที่สยามพารากอน ที่จะเข้ามาเสริมและต่อยอดธุรกิจ

การเติบโตด้านผลการดำเนินงานของบริษัทในตลอด 13 ปีที่ผ่านมา รายได้เติบโตในระดับตัวเลข 2 หลักมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นไปตามการเติบโตของภาพรวมตลาด Health and Beauty ที่เติบโต 2 หลักมาทุกปี และยังมีแนวโน้มการเติบโตมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคตตามเทรนด์ของสังคมในยุคปัจจุบันที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากขึ้น

โดยเฉพาะตลาดที่เกี่ยวข้องกับคลีนิกเวชศาสตร์ความงาม (Aesthetics Clinic) อย่างเดียว ไม่รวมการขายครีม ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่า 6 หมื่นล้านบาท และคาดว่าอีก 5-7 ปีข้างหน้าจะเติบโตเป็น 2 เท่า หรือมีมูลค่าอยู่ที่ 1.2 แสนล้านบาท เพราะความเป็นเมกะเทรนด์ของคนที่อายุมากขึ้น (Aging Society) อายุยืนขึ้น อัตราการเสียชีวิตจากการชราต่ำลง ทำให้คนใส่ใจสุขภาพมากขึ้น อีกทั้งความเป็นเมืองท่องเที่ยวของกรุงเทพฯ ที่มีนักท่องเข้ามาเยือนเป็นอันดับ 1 ของโลก ช่วยเสริมความเป็น Medical Hub ของประเทศไทยได้ และเป็นปัจจัยบวกต่อการเติบโตของบริษัทอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ การบริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Aesthetics Skin ยังมีการใช้บริการจากลูกค้าเดิมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยลูกค้าเดิมกลับมาใช้บริการโปรแกรมรักษาต่าง ๆ ของบริษัทอย่างต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน อย่างเช่น แบรนด์พรีเซ็นเตอร์ของ The KLINIQUE คือ ซุปตาร์อย่าง อั้ม พัชภา ไชยเชื้อ ที่ไว้วางใจในการให้บริษัทดูแลด้านความงามมา 13 ปี และเลือกมาเป็นแบรนด์พรีเซ็นเตอร์ให้กับKLINIQUE

โดยที่บริการด้าน Aesthetics Skin ถือเป็นหนึ่งบริการของ The KLINIQUE ที่สามารถสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) ให้แก่บริษัท และบริการด้านการฉายแสงเลเซอร์เพื่อดูแลผิวพรรณ ยังเป็นโปรแกรมการรักษาที่ให้มาร์จิ้นสูง และสามารถต่อยอดธุรกิจในการส่งผ่านลูกค้าที่มีความต้องการด้านความงามและสุขภาพ ไปยังบริการศัลยกรรม และ Wellness ที่เสริมเข้ามาอย่างครบวงจร และเชื่อว่าคนยังคงให้ความสำคัญกับความงามและสุขภาพมากขึ้น

"มีงานวิจัยบอกว่า การที่คนเราดูแลรูปร่างหน้าตาให้ดีขึ้น เพิ่มโอกาสในชีวิตให้ดีขึ้นด้วย ไม่ใช่แบบว่าเราส่องกระจกแล้วมีความสุข แต่มันเพิ่มโอกาสในหน้าที่การงานในชีวิตด้วย" นายแพทย์อภิรุจกล่าว
*ธุรกิจคลินิกความงามรายแรกในตลาดหุ้น สู่เป้า Growth & Dividend stocks

สำหรับแผนการเสนอขายหุ้น IPO ของ KLINIQ มีวัตถุประสงค์การใช้เงินระดมทุนเพื่อรองรับการขยายสาขาคลินิกผิวหนังและรูปร่าง The KLINIQUE เฉลี่ย 6-10 สาขา/ปี รวมถึงการขยายพื้นที่หรือเปิดสาขาศูนย์ศัลยกรรมเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากปัจจุบันศูนย์ศัลยกรรมของ The KLINIQUE ที่สยามสแควร์มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการค่อนข้างมากกว่า 50% ของการให้บริการที่รองรับ และการเปิดศูนย์สุขภาพ (Wellness Center) อีกทั้งยังมีการใช้พัฒนาระบบไอที และเป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท

ขณะเดียวกันจุดเด่นทางด้านการเงินของบริษัทอยู่ที่การไม่มีหนี้ และมีเงินสดในมือมาก (Cash Rich) ถือเป็นธุรกิจที่แตกต่างจากธุรกิจอื่น ๆ และแสดงถึงความแข็งแกร่งของบริษัท เชื่อว่าจะสร้างความเชื่อมั่นกับผู้ถือหุ้นและนักลงทุนในด้านความพร้อมในการขยายธุรกิจ และสร้างการเติบโตเพื่อให้ผลตอบแทนที่ดีกับผู้ถือหุ้น โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ

"The KLINIQUE ถือเป็นคลินิกรายแรกที่เข้าตลาดหุ้น เรามีแผนการเติบโตอย่างยั่งยืน จากการที่ผู้บริหารมีความเชี่ยวชาญในการทำธุรกิจมากว่า 10 ปีแล้ว เราอยากให้ผู้ถือหุ้นมั่นใจ The KLINIQUE เติบโตอย่างยั่งยืน และให้ผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหุ้นต่อไป เป็นทั้ง Growth และ Dividend Stocks" นายแพทย์อภิรุจกล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังมีโรงพยาบาลเอกชัย (EKH) เป็นหนึ่งผู้ถือหุ้นและเป็นพันธมิตรที่สำคัญ เนื่องจากในช่วงแรกที่บริษัทมีความต้องการเปิดศูนย์ศัลยกรรมจึงได้มองหาพันธมิตรที่เป็นโรงพยาบาลที่มีประสบการณ์ เพื่อช่วยให้คำปรึกษาเกี่ยวกับมาตรฐานการก่อสร้าง การพัฒนาศูนย์ศัลยกรรมตามมาตรฐานโรงพยาบาล เพื่อสร้างมาตรฐานและการบริการที่เหนือกว่าคลินิกทั่วไป และทำให้ศูนย์ศัลยกรรมของบริษัทโดดเด่นกว่าคู่แข่งรายอื่นในตลาด

"เราต้องการเป็น Hospital Standard เราไม่ต้องการแข่งขันกับมาตรฐานคลินิกทั่วไป เราแข่งขันกับมาตรฐานของโรงพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือ รวมถึงบุคคลกรต่าง ๆ ของเรา" นายแพทย์อภิรุจ กล่าว
https://youtu.be/8FvOwq1LYhU