ลงประกาศฟรี โพสต์ฟรี โปรโมทเว็บไซต์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN

ตลาดซื้อขายสินค้าออนไลน์ โฆษณาสินค้าฟรี => อื่นๆ ที่ไม่ตรงหมวดข้างบน => Topic started by: deam205 on October 28, 2022, 08:04:40 PM

Title: DTCENT จ่อขายหุ้น IPO เพิ่มศักยภาพ ปีนี้วางเป้ากำไรโต 10-15%,ผถห.ใหญ่พร้อมใจติด silent
Post by: deam205 on October 28, 2022, 08:04:40 PM

นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ.ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ คาดว่า DTCENT จะสามารถเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ในช่วงปลายเดือนต.ค. 65 หรือต้นเดือนพ.ย. 65 หลังจากบริษัทเดินสายให้ข้อมูล (โรดโชว์) แก่นักลงทุน (https://www.chumphonnews.com/keep-an-eye-on-jasif-unitholders-meeting-today/)ไปแล้วในวันนี้ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และให้ความสนใจในศักยภาพของบริษัท

DTCENT จะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 305 ล้านหุ้น โดยเป็นการเพิ่มทุนจาก 900 ล้านหุ้น เป็น 1,205 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 25.31% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO

นายทศพล คุณะเพิ่มศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ DTCENT เปิดเผยว่า บริษัทจะนำเงินที่ได้รับการจากการระดมทุนครั้งนี้ส่วนหนึ่งไปใช้ลงทุนสร้างศูนย์บริหารจัดการและบริการข้อมูลยานพาหนะ (Vehicle Monitoring and Support Center) ราว 70 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดให้บริการภายในปี 66 เพื่อต่อยอดธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ GPS ที่สามารถสร้างรายได้เสริมและเป็นรายได้ประจำเข้ามาให้กับบริษัท และส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการ เพื่อรองรับสำหรับการประมูลงาน การซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงเงินมัดจำในการเข้าประมูลงาน

"การเข้าตลาดฯในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพการเติบโตของ DTCENT ให้เรามีความมั่นคงด้านฐานการเงินเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันในระดับสากลมากขึ้น และด้วยประสบการณ์ของทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญมากกว่า 25 ปี รวมถึงมีพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง จึงมั่นใจว่าในอนาคตบริษัทมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก และสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้า ลูกค้า รวมถึงสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น" นายทศพล กล่าว
ทั้งนี้ แนวโน้มของงานใหม่ๆที่เกี่ยวข้องกับงานด้านระบบการติดตามที่ใช้ GPS บริษัทยังมีโอกาสเข้าไปประมูลงานได้อีกมาก โดยเฉพาะกลุ่มงานโครงการของหน่วยงานภาครัฐระดับเทศบาล ได้แก่ อบต. และ อบจ. เป็นต้น ซึ่งบริษัทคาดว่าในช่วงปลายปีนี้หน่วยงานภาครัฐระดับเทศบาลจะมีเริ่มเปิดประมูลงานดังกล่าวเป็นจำนวนมาก หลังจากที่ชะลอไปในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 บริษัทจึงคาดหวังจะได้รับงานเข้ามาเพิ่มเติมในช่วงปลายปีนี้

นอกจากนี้ บริษัทยังมีพันธมิตรที่เป็นบริษัทในระดับชั้นนำเข้ามาถือหุ้น ได้แก่ บริษัท ยาซากิ เอ็นเนอร์จี ซิสเท็ม คอร์ปอเรชั่น (YES) ที่ถือหุ้น DTCENT อยู่ที่ 18% และ บริษัท บุญรอด ซัพพลายเชน จำกัด (BRS) ถือหุ้นอยู่ที่ 15% ซึ่งจะช่วยนำพาบริษัทไปขยายธุรกิจในต่างประเทศได้ในช่วง 3-5 ปี เน้นในภูมิภาคอาเซียนที่พันธมิตรมีการลงทุนและมีเครือข่ายธุรกิจอยู่ และเป็นกลุ่มประเทศที่ยังมีศักยภาพในการเข้าไปรุกตลาดและมีช่องว่างทางธุรกิจ

ขณะที่ตลาด GPS Tracking ในประเทศไทยเองก็ยังสามารถขยายตัวได้อีกมาก จากการที่กฎหมายจะเข้ามาควบคุมให้มีการติดตั้งระบบ GPS Tracking ในรถบรรทุกขนนส่งทุกคัน คาดว่าจะต้องมีการติดตั้ง GPS ในรถบรรทุกเพิ่มขึ้นเป็น 1 ล้านคัน จากปัจจุบันที่ติดไปเพียง 500,000 คัน ทำให้ยังมีโอกาสในการเติบโตสูง

นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับระบบ SMART CITY SOLUTION หรือระบบบริหารการจัดการองค์กรส่วนท้องถิ่น, BAMS (Business Activity Management System), BIM (Building Information Modeling), EV Platform, Logistics Demand-Supply Matching Platform และระบบ AI สำหรับงาน IoT ที่จะเป็นอนาคตของเทคโนโลยีใหม่ๆที่จะเริ่มมีการใช้มากขึ้น ซึ่งบริษัทมีการให้บริการที่ครอบคลุมรองรับ

นายทศพล กล่าวอีกว่า แนวโน้มผลของการดำเนินงานในปี 65 บริษัทคาดว่ากำไรจะเติบโตได้ราว 10-15% จากการฟื้นตัวขึ้นหลังจากผ่านพ้นการแพร่ระบาดโควิด-19 ไปแล้ว ทำให้หน่วยงานภาครัฐต่างๆ รวมถึงกลุ่มลูกค้าภาคเอกชน เริ่มกลับมาลงทุนในการติดตั้งระบบ GPS ทำให้เริ่มมีงานใหม่ๆเข้ามา ผลักดันให้ผลการดำเนินงานฟื้นตัวขึ้น ซึ่งคาดว่าจะสามารถกลับไปใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19

ทั้งนี้ รายได้ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาของปี 65 เติบโตขึ้นมาที่ 324.61 ล้านบาท จากช่วง 6 เดือนแรกของปี 64 อยู่ที่ 288.18 ล้านบาท โดยบริษัทได้รับงานที่เข้ามามากขึ้น ทำให้บริษัทมั่นใจในการกลับมาเติบโตอย่างมีศักยภาพ

ขณะที่นายเอกจักร กล่าวอีกว่า จุดเด่นของ DTCENT อยู่ที่โอกาสการเติบโตของตลาด GPS Tracking และ IoT ที่มีการเติบโตเฉลี่ย 30% ต่อปี และเป็นธุรกิจที่สามารถทำอัตรากำไรขั้นต้นในระดับสูงราว 50% โดดเด่นมากกว่าธุรกิจอื่นๆ รวมถึงบริษัทยังมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ที่ต่ำ 0.48 เท่า และหนี้สินส่วนใหญ่เป็นเจ้าหนี้การค้า สะท้อนภาพความแข็งแกร่งของบริษัท และหลังจากได้เงิน IPO ไปแล้วจะทำให้ D/E ลดลงอีก

นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นใหญ่ยังสร้างความมั่นใจต่อผู้ลงทุนด้วยการติด silent period โดยเฉพาะบริษัท บุญรอด ซัพพลายเชน จำกัด ที่ติด silent period 100% และบริษัท ยาซากิ เอ็นเนอร์จี ซิสเท็ม คอร์ปอเรชั่น ที่ติด silent period 50% ทำให้นักลงทุนสามารถมั่นใจได้ว่าจะไม่มีผู้ถือหุ้นใหญ่เทขายหุ้นออกมาในวันเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วันแรก

"ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ ถือเป็นหนึ่งในหุ้นเทคโนโลยีที่จะเข้ามาตลาดเป็นบริษัทที่นักลงทุนจะสามารถเข้ามาลงทุนได้ จากศักยภาพการเติบโตของตลาด GPS และ iot อีกทั้ง บมจ.ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ ยังเป็นเบอร์ 1 ด้าน GPS ซึ่งมีศักยภาพในการคว้างานใหม่ๆเข้ามา และขยายตลาดได้มากขึ้น ร่วมกับพันธมิตรชั้นนำที่ถือหุ้นในบริษัท จึงทำให้มั่นใจในศักยภาพการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง" นายเอกจักร กล่าว