ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันพฤหัสบดี (3 พ.ย.) หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าจะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป ซึ่งทำลายความหวังเกี่ยวกับการชะลออัตราการปรับขึ้นดอกเบี้ย
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 409.55 จุด ลดลง 3.84 จุด หรือ -0.93%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้น (https://www.do-it-anyway.org/thai-baht-fluctuates-but-strengthens-keep-an-eye-on-important-factors-next-week-inflation-oct/)ฝรั่งเศสปิดที่ 6,243.28 จุด ลดลง 33.60 จุด หรือ -0.54%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 13,130.19 จุด ลดลง 126.55 จุด หรือ -0.95% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,188.63 จุด เพิ่มขึ้น 44.49 จุด หรือ +0.62%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงรุนแรงที่สุดในรอบ 4 สัปดาห์ โดยหุ้นที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย อาทิ กลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ร่วงลง 2.3% และ 2.9% ตามลำดับ
ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มประกันปรับตัวขึ้นสวนทางตลาด โดยบวก 0.4% และ 0.2% ตามลำดับ
เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% เป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกันเมื่อวันพุธ และระบุว่า ระดับสุดท้ายของอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจสูงกว่าที่คาดกันไว้ก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดระบุว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอาจจะเป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยลง
ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ซึ่งมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2532 พร้อมทั้งระบุว่า อังกฤษเผชิญกับภาวะถดถอยระยะยาว และอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาด
หุ้นกลุ่มเดินทางและนันทนาการ ลดลง 1.6% โดยหุ้นฟลัทเทอร์ เอ็นเทอร์เทนเมนต์ ร่วง 5.5% หลังหน่วยงานด้านการเงินของออสเตรเลียสั่งตรวจสอบสปอร์ตส์เบต (Sportsbet) ซึ่งเป็นบริษัท.ออนไลน์ใหญ่สุดของออสเตรเลียซึ่งดำเนินงานโดยฟลัทเทอร์
หุ้นบีเอ็มดับบลิว ร่วง 4.7% หลังเตือนว่า เงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจะเริ่มกระทบยอดขายในช่วงหลายเดือนข้างหน้า
หุ้นยูนิเพอร์ ร่วง 5.3% หลังขาดทุนสุทธิ 4 หมื่นล้านยูโร (3.93 หมื่นล้านดอลลาร์) แต่หุ้นบีเอ็นพี พาริบาส์ พุ่ง 3.1% หลังเปิดเผยผลกำไรรายไตรมาสมากกว่าคาด